ประวัติหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ผมได้ศึกษาจากอินเทอร์เน็ต
(www.watkositaram.com) ซึ่งก็ต้องขออนุญาตเผยแพร่ ณ ที่นี้
และท่านผู้อ่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมที่เว็บดังกล่าวได้
ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ พระกวยได้มาเรียนปริยัติธรรม
เพื่อให้เจริญใน ศาสนา ได้มาอยู่วัดวังขรณ์ ๒ พรรษา
ต.โพธิ์ชนไก่ พรรษาต่อมาได้เรียนธรรมโท
แต่พอสอบได้เป็นไข้ไม่สบายเลยไม่ได้สอบ
จึงมาคิดได้ว่าปริยัติธรรมก็เรียนมาพอสมควร
จึงอยากจะเรียนวิปัสสนากรรมฐานและอาคมตลอดจนวิธีทำเครื่องรางของขลัง
จึงได้เดินทางไปเรียนวิชากับหลวงพ่อศรี วิริยะโสภิต
แห่งวัดพระปรางค์ จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อศรีองค์นี้เชี่ยวขาญในวิปัสสนา
กรรมฐานมาก เก่งที่สุดในจังหวัดสิงห์บุรี
ขณะนั้นหลวงพ่อได้เรียนวิชาทำแหวนนิ้ว
ซึ่งแหวนนิ้วของหลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์
ใต้ท้องวงจะตอกตัวขอมอ่านว่าอิติ
ของหลวงพ่อก็เช่นกันและได้เรียนวิชาอีกหลายอย่าง
ได้จำพรรษาอยู่วัดหนองตาแก้ว ต.โคกช้าง อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี
ที่วัดตาแก้วนี้ หลวงพ่อได้ปลูกต้นสมอไว้ ๑ ต้น
ปัจจุบันยังอยู่ หลวงตาสมาน เคยไปอยู่วัด หนองตาแก้ว
ได้นำไก่แจ้เอาไปนอนบนต้นสมอ ปรากฏว่าไก่ไม่ยอมนอน
ไม่ทราบว่าหลวงพ่อได้ลงวิชาอะไรไว้ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อ
เพิ่งอายุ ๒๘ ปี พรรษาได้ ๘ พรรษา
แสดงว่าหลวงพ่อเป็นผู้มีอาคมตั้งแต่ยังเป็นพระหนุ่ม
ได้จำพรรษาที่วัดหนองตาแก้ว ๑ พรรษา ในวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.
๒๔๗๗ ได้มาจำพรรษาที่วัดหนองแขม ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท
อีก ๑ พรรษา ได้เรียน แพทย์แผนโบราณต่อกับโยมป่วน บ้านหนองแขม
และเรียนแพทย์แผนโบราณต่อกับหมอใย บ้านบางน้ำพระในขณะที่พักจำ
พรรษาที่วัดหนองแขม ไก้มีเพื่อนภิกษุชื่อ แจ่ม
ได้เดินทางท่องเที่ยวไปพบตำราเป็นสมุดข่อยอยู่ในโพรงไม้
แต่เอามาไม่ได้ เพราะตำรานั้นมีอาถรรพณ์แรงมาก
คล้ายมีเทพและเทวดารักษา จึงได้มาชักชวนพระกวยให้ไปดู
ปรากฏว่ามีตำราอยู่โพรงไม้จริง มีรอยคนเอาพวงมาลัยดอกไม้
ธูปเทียนมาบูชา ใต้โคนไม้ พระภิกษุ กวย จึงได้จุดธูปบอกเล่าและอธฐานว่า
"ถ้าจะให้ข้าพเจ้าเอา ตำรานี้ไปเก็บรักษาไว้
ขอธูปที่จุดนี้ให้ไหม้ให้หมดดอก" แต่ปรากฏว่าธูปได้ไหม้ไม่หมด
พระภิกษุกวยจึงได้เสี่ยงสัตย์อธิษฐานขึ้น มาใหม่ว่า
"ถ้าหากว่าท่านจะให้ตำรานี้ให้ข้าพเจ้าเอาไปเก็บรักษาไว้
ข้าพเจ้าจะนำเอาตำรานี้ไปทำประโยชน์แก่วัดและช่วยเหลือ
ประชาชนเท่านั้น"
แล้วก็จุดธูปขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายปรากฏว่าธูปได้ไหม้หมดทั้ง ๓
ดอก หลวงพ่อจึงได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้
เจ้าของตำราและอัญเชิญเอาตำรานั้นมาเก็บไว้
ต่อมามีคนร่ำลือกันว่ามีคน ๆ
หนึ่งได้นำตำราชุดนี้มาเก็บไว้ในบ้าน ได้เกิดเหตุวิบัติ
เจ็บไข้ล้มตาย จึงเอาตำราชุดนี้มาทิ้งไว้ดังกล่าว พระภิกษุกวย
เมื่อได้ข่าวดังนั้นก็มาเปิดตำราดูก็ปรากฏว่ามีลายลักษณ์อักษรบอก
ไว้ในตำราว่า ตำรานี้ห้ามเอาไปไว้บ้านใคร ๆ ทั้งสิ้น
มิฉะนั้นจะฉิบหาย
พระภิกษุกวยจึงได้ศึกษาตำรายันต์และคาถาจากตำราเล่ม นี้
ปัจจุบันตำราเล่มนี้ยังอยู่ที่วัด
หน้าปกเขียนว่าครูแรงด้วยสีแดง ปกติไม่มีใครกล้าหยิบต้อง
ผู้เขียนเคยขอร้องให้ท่านอาจารย์ สำรวย เจ้าอาวาสหยิบมาให้ดู ๑
ครั้ง ผมได้จุดธูปบอกเล่าหลวงพ่อ และเจ้าของตำราขอสมาโทษ
ได้ขอสมาต่อหลวงพ่อว่า "ผมไอ้ ครู ศิษย์คนเล็กของหลวงพ่อ
ตอนหลวงพ่อมีชีวิตอยู่
ผมไม่กล้าที่จะล่วงเกินหลวงพ่อแม้แต่น้อย เคารพหลวงพ่อดุจบิดา
แต่วันนี้ อาจเอื้อมเปิดตำราของหลวงพ่อ
เปรียบเสมือนครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อ ขอหลวงพ่อจงอย่าได้ถือโกรธ
หากพระมนต์บทใด หลวงพ่อจะให้ขอให้ผมจำได้เพียงท่องแค่ ๓ ครั้ง"
ผมได้เปิดตำราดู ใจตำรามีพระมนต์และยันต์ต่าง ๆ
มากมายหลายร้อยยันต์ เป็นยันต์กันอาวุธ, กันกระทำ, กันคุณ,
กันของ คาถาก็มีมากมายหลายบท
เป็นภาษาของคนโบราณแต่มีบทหนึ่งเขียนไว้ว่า พระมนต์พระพทธเจ้าชนะมาร
ใช้เรียกนางแม่ธรณี ใช้ทำน้ำมนต์ ฆราวาสห้ามเรียน
ในพระมนต์นี้ได้เจียนถึงการใช้มนต์ใจทาง ที่ดี
และใช้ไปใจทางที่ร้าย คือมนต์ดพ
ผมเลยตัดสินใจอธิษฐานขอเรียนท่องเพียง ๒ ครั้ง
ก็จำได้แล้วปิดตำรามอบคืนให้ท่าน อาจารย์สำรวย
เรื่องตำรายันต์ที่หลวงพ่อคัดลอกและเรียนมานี้
ปัจจุบันอยู่ที่อาจารย์เหวียน มณีนัน คนทำทอง ต.ปากน้ำ
อ.เดิมบาง จ.สุพรรณบุรี ๑ เล่ม เก็บรักษาอยู่ที่วัดท่าทอง
แขวนไว้ในกุฎิไม่มีใครกล้ายุ่ง อยู่ที่อาจารย์ตั้ว ๑ เล่ม
อยู่ที่อาจารย์แสวง วัดหนอง อีดุก อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ๑ เล่ม
ส่วนที่วัดมีหลายเล่ม มีอยู่เล่มหนึ่งเป็นตำราภาษาไทย
มองดูก็ธรรมดา หลวงพ่อห่อปกไว้ อย่าวงดี
ใส่พานไว้บูชาหน้าปกเขียนว่า ทางมรรคผล
ลายแทงนิพพานเขียนโดยหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ รับหนังสือไว้ พ.ศ.
๒๕๐๒ ปีนั้นหลวงพ่อสดมรณภาพแล้ว ตำรานี้ปัจจุบันยังอยู่ใจพาน
หน้าโต๊ะหมู่ท่าน กรุณาอย่าไปแตะต้อง บางคนกลับไปบ้าน
ไม่สบายเพ้อคลั่งปวดหัวก็มี
เข้าใจว่าหลวงพ่อได้ศึกษาตำราเล่มนี้ในบั้นปลายของชีวิต
|